ปก

ปก

โอโซนบำบัด


  โอโซนสำหรับมะเร็ง



ข้อเท็จจริงล่าสุดที่เกี่ยวกับมะเร็ง

    1.ในร่างกายของทุกคนเซลมะเร็งอยู่แล้ว  แต่จะไม่แสดงอาการใด ๆ จนกว่าจะมีจำนวนนับล้าน ๆ เซล เมื่อแพทย์กล่าวว่าผู้ป่วยหายเป็นปกติดีภายหลังจากการรักษา  หมายความว่ายังคงมีเซลมะเร็งอยู่  แต่ไม่มากพอที่จะแสดงอาการ
    2. เซลมะเร็งสามารถตรวจพบได้ 6 ถึง 10 ครั้งในช่วงชีวิตของคน ๆ หนึ่ง
    3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงพอจะสามารถทำลายเซลมะเร็ง  และควบคุมไม่ให้มีปริมาณมากขึ้นจนกลายเป็นเนื้อร้าย
    4. เมื่อบุคลใดเป็นมะเร็ง อาจบ่งชี้ได้ว่ามีการเสียสมดุลทางสารอาหาร  และอาจเกี่ยวเนื่องกับพันธุกรรม,สภาพแวดล้อมหรือการดำรงชีพของแต่ละบุคคล
    5. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินที่ดีและสมดุลจะช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
    6. การบำบัดด้วยสารเคมี  นอกจากจะยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลมะเร็งแล้ว  ยังสามารถทำลายเซลในร่างกายที่ปกติไปด้วย  เช่น  ไขกระดูก  ระบบทางเดินอาหาร  และยังทำให้ระบบอวัยวะภายในถูกทำลายด้วย  เช่น  ตับ  ไต  หัวใจ  ฯลฯ
    7. การฉายรังสีบำบัด  สามารถทำลายเซลมะเร็ง  แต่ก็สามารถเผา เกิดรอยแผลเป็น ทำลาย เซลปกติหรืออวัยวะที่อยู่ข้างเคียงได้ด้วย
    8. ในระยะเริ่มต้นของการรักษาด้วยรังสีหรือเคมีบำบัด  สามารถลดขนาดของก้อนเนื้อร้ายหรือเซลมะเร็งได้ดี  แต่ในระยะยาวมักไม่มีผลมากนัก
    9. เมื่อร่างกายได้รับพิษจากการฉายรังสีหรือเคมีบำบัดเป็นจำนวนมากในระดับหนึ่ง  จะส่งผลข้างเคียงต่อระบบภูมิคุ้มกัน  ซึ่งทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อ
    10. การฉายรังสีหรือเคมีบำบัดอาจเป็นสาเหตุของการกลายพันธุ์ของเซลมะเร็ง  ซึ่งจะทำให้ยากต่อการรักษา  ดังนั้นการผ่าตัดเพื่อนำก้อนเนื้อร้ายออกจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ต้องการะทำ

     และเนื่องจากการรักษามะเร็งยังมีปัญหาไม่สามารถกำจัดโรคมะเร็งให้หายขาดได้ทุกราย แม้รายที่ดูเหมือนจะดีขึ้นแต่ผ่านไปไม่กี่ปีโรคมะเร็งก็กลับมาเป็นอีก คราวนี้ส่วนใหญ่จะแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย  แม้การใช้ยาเคมีบำบัดรุ่นใหม่มาทำการรักษา  แต่ดูเหมือนผลการรักษาก็ยังไว้ใจไม่ได้ โดยที่การรักษาเหล่านี้มาพร้อมกับการทำลายภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย และไม่เพียงแต่จัดการกับเนื้อร้ายเท่านั้นแต่ยังทำลายเซลล์ปกติด้วย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดพิษต่ออวัยวะในร่างกายอย่างสูง เกินกว่าที่ร่างกายของคนปกติจะรับได้



         


  การเติมโอโซนสำหรับมะเร็ง
       การเติมโอโซนเพื่อการร่วมรักษามะเร็งมีใช้มานานแล้วหลายสิบปี เหตุผลของการเติมโอโซนในกรณีรักษามะเร็งสืบเนื่องมาจากการค้นพบสำคัญๆ 3 ประการคือ
 
      1. การค้นพบของนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล ดร.ออตโต วอร์บวร์ก ผู้อำนวยการสถาบันมากซแพล็งค์ ซึ่งศึกษาค้นคว้าสรีรวิทยาของเซลล์ในกรุงเบอร์ลิน เขากล่าวในที่ประชุมนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลที่เยอรมันในปีค.ศ.1961 ว่า "สภาวะที่ขาดออกซิเจนในระดับเซลล์ คือสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการเกิดมะเร็ง"
      2. นักวิทยาศาสตร์อีก 2 คนที่กล่าวถึงความสำคัญในเรื่องนี้คือ ดร.เจมส์ และดร.วัตสัน ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลคู่กันในฐานะผู้ค้นพบโครงสร้างของดีเอ็นเอว่าเป็น บันไดเวียนเกลียวคู่ เขากล่าวว่า"ไวรัสหลายชนิดถูกค้นพบแล้วว่าเป็นสารก่อมะเร็งที่สำคัญ" มันเป็นความรู้ใหม่ที่คนเราไม่เคยรับรู้มาก่อน
      3. ดร.เจาควิม วาร์โร ชาวเยอรมันระบุไว้เมื่อปีค.ศ.1974 ว่า "เซลล์มะเร็งไม่ทนทานต่อสารเปอร์ออกไซด์ ดังนั้นโอโซนและไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์จึงอาจเหนี่ยวนำกระบวนการครองธาตุของ เซลล์ ทำให้ยับยั้งการขยายตัวของเซลล์มะเร็งได้" ความจริงข้อนี้รอการพิสูจน์จนถึงปี ค.ศ.1980 ดร.เฟรเดอริก สวีทและคณะได้ตีพิมพ์บทความในวารสาร ไซแอนส์ รายงานผลวิจัยจากห้องทดลองที่พิสูจน์ว่าโอโซนมีผลยับยั้งการขยายตัวของเซลล์ มะเร็งอย่างเฉพาะเจาะจง"

    
การบำบัดด้วยโอโซนจึงเป็นธรรมชาติบำบัดประการหนึ่ง ซึ่งเข้ามามีบทบาทด้านการแพทย์ทางเลือกในยุคปัจจุบัน

  กลไกร่างกายต่อมะเร็ง

     กลไกต่างๆ ในร่างกายที่มีผลต่อการกำจัดเซลมะเร็ง มีดังนี้

     1. การกระตุ้นการสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพของ Natural Killer Cell (NK CeLL)   หรือเซลล์เพชฌฆาต เพื่อปกป้อง หรือป้องกันการเกิดมะเร็ง 

     Natural Killer Cell เป็นเซลล์สำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นด่านแรกในการปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคและสิ่งที่มาคุกคาม เมื่อ NK Cell ถูกกระตุ้นจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง 2 ประการ คือ
  1.ปล่อยสารสื่อโปรตีน ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
  2.ทำหน้าที่เป็นเซลล์นักฆ่าที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อ รวมถึงเซลล์มะเร็ง 

     เป็นที่ทราบกันว่าผู้ป่วยมะเร็งจะมีจำนวนและประสิทธิภาพการทำงานของ NK Cell ต่ำ ทำให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่มาคุกคามร่างกาย หรือไม่สามารถทำลายเนื้อเยื่อที่ผิดปกติได้ ส่งผลให้โรคมะเร็งลุกลามแพร่กระจายทั่วไป จากความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องได้ค้นพบวิธีการเพาะเลี้ยงเซลล์เพชฌฆาต(NK Cell)ได้โดยทำการเจาะเลือดผู้ป่วยประมาณ 50 ml นำมาสกัดแยกเนื้อเยื่อมะเร็งและ Dendritic cells (DC) ซึ่งเป็นเซลภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่หลักในการตรวจหาเซลมะเร็งและส่งสัญญาณให้เซลอื่นๆในระบบรับทราบเพื่อเข้าจัดการกับเซลล์มะเร็ง  พร้อมกับเพิ่มจำนวน NK Cell จนได้เซลล์เพชฌฆาตนับล้านเซลล์แล้ว และเมื่อ DC ถูกกระตุ้นจะเปลี่ยนจากระยะ resting phase เป็น activating phase แล้วฉีดกลับให้กับผู้ป่วย โดยDC+NK Cell ที่ฉีดกลับนี้ก็จะเป็นตัวชี้นำให้ T cells ที่อยู่ในร่างกายเรารู้จักและสามารถจดจำเซลล์มะเร็งชนิดนี้ได้ และมีความสามารถทำลายเซลล์มะเร็งในตัวผู้ป่วยได้อย่างเฉพาะเจาะจง นอกจากนี้ NK Cell ยังสามารถยับยั้งการทำลายเซลล์ได้ในกรณีที่พบว่าเป็นเซลล์ปกติของร่างกาย และเนื่องจากเป็นเซลล์ที่เพาะเลี้ยงมาจากตัวผู้ป่วยเองจึงไม่มีผลแทรกซ้อนหรืออาการข้างเคียง และนี่ก็อาจจะเป็นแนวทางการรักษามะเร็งที่สมบูรณ์แบบ
         ผลการศึกษาวิจัยการใช้เซลล์เพชฌฆาตรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Immunotherapy ฉบับเดือนมกราคม พ.ศ.2551 ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับจำนวน 45 ราย ได้รับการรักษาด้วยเซลล์เพชฌฆาตพบว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นโดยผู้ป่วยจำนวน 39 ราย รับประทานอาหารได้มากขึ้นและผู้ป่วยจำนวน 34 ราย มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และเมื่อติดตามผลไปนาน 18 เดือน ผู้ป่วยทุกรายยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้ทำการรักษาด้วยเซลล์เพชฌฆาตจำนวน 40 ราย พบว่ากลุ่มที่ไม่ได้ทำการรักษามีอัตราการเกิดมะเร็งซ้ำร้อยละ 80 ส่วนกลุ่มที่ทำการรักษามีอัตราการเกิดมะเร็งซ้ำร้อยละ 31.11 ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

2.โปรแกรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการต่อสู้กับเซลมะเร็ง 
 
        เป็นโปรแกรมการรักษามะเร็งที่จะเปลี่ยนระบบภูมิต้านทานของคนไข้ที่อ่อนแอ ปล่อยให้ก้อนมะเร็งลุกลามใหญ่โตเบียดบังอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย ให้กลับกลายเป็นนักต่อสู้ที่จะห้ำหั่นเซลล์มะเร็งให้พ่ายแพ้ไปราบคาบด้วยตัวของคนไข้เอง โดยการที่ออกฤทธิ์ต่ออวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย ไม่น้อยกว่า 15 อวัยวะ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานที่มีประสิทธิภาพ โดยจะสร้างสาร Interferonogene ( เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อระบบภูมิคุ้มกัน ) เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง กำจัดสารอนุมูลอิสระ และยังป้องกันการแพร่กระจายของเนื้อร้ายและการกลับมาของโรคมะเร็งอีก พร้อมทั้งกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์เพชฌฆาต (NK Cell) เพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้เมื่อเซลล์มะเร็งถูกทำลายลงแล้ว เซลล์ที่ตายและเสื่อมจะกลายเป็นสารพิษตกค้างในร่างกาย โปรแกรมนี้ จะมีขบวนการ เร่งการขับถ่ายสารพิษ ออกจากร่างกายผู้ป่วยโดยกระตุ้นการการกำจัดสารพิษออกทางตับซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้มะเร็ง และทางผิวหนังเพื่อช่วยลดการขับสารพิษทางไต อีกทั้งการที่อวัยวะภายในของผู้ป่วยแข็งแรง จะทำให้ผู้ป่วยมีความอยากทานอาหาร ร่างกายกระชุ่มกระชวยมีเรี่ยวแรงขึ้น สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี

คุณสมบัติพิเศษที่ใช้ในการกำจัดเนื้อร้าย
1. มีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเนื้อร้าย
2. ไม่มีผลข้างเคียงในขณะที่กำลังทำปฏิกิริยาต่อสู้กับเนื้อร้ายอยู่ ซึ่งสุดท้ายจะสลายกลายเป็นออกซิเจนที่ทุกเซลในร่างกายต้องการเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว
3. ป้องกันการกลับมาของโรค และการแพร่กระจายของเนื้อร้าย

         นอกจากนี้ยังสามารถใช้กับผู้ป่วยที่กำลังรักษาด้วยเคมีบำบัด หรือผู้ที่ได้รับการรักษาแบบรังสีบำบัด เนื่องจากการรักษาเหล่านี้มาพร้อมๆกับการทำลายภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย ซึ่งไม่เพียงแต่จะจัดการกับเนื้อร้ายเท่านั้นแต่ยังทำลายเซลล์ปกติด้วย และทำให้เกิดพิษต่ออวัยวะในร่างกายอย่างสูงเกินกว่าที่จะรับได้ เช่น ร่างกายอ่อนแอ อ่อนเพลีย ผมร่วง คลื่นไส้อาเจียน ท้องร่วงภูมิต้านทานต่ำ ทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมานด้วยอาการต่างๆนานา  แต่การออกฤทธิ์ของโอโซนจะมุ่งทำลายต่อเซลล์เนื้อร้ายเท่านั้นไม่ทำลายเซลล์อื่น และกลับยังเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจึงสามารถลดผลข้างเคียงที่ได้รับจากการให้เคมีและรังสีบำบัดได้เป็นอย่างดี

ประโยชน์ที่ได้รับ

     ถ้าทำก่อนการผ่าตัดและให้ยาเคมีบำบัด จะทำให้ผู้ป่วยมีเซลล์ภูมิต้านทานไปล้อมเซลล์มะเร็งไว้ และทำให้เซลล์เนื้อร้ายอ่อนแรง ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากกว่า
     ถ้าทำหลังการผ่าตัดและเคมีบำบัดจะช่วยทำลายเซลล์มะเร็งที่เหลือหลุดรอดไปไม่ให้กลับมา เป็นใหม่ และช่วยลดภาวะแทรกซ้อนและผลข้างเคียงของเคมีบำบัด
      กรณีผู้ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น สามารถมีชีวิตอยู่กับ มะเร็งอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี

  
   3.โปรแกรมฟื้นฟูสภาพร่างกาย 

     นับวันสถานการณ์ผู้ป่วย " โรคมะเร็ง" ในประเทศไทยดูจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น อัตราการตายของผู้ป่วยจากโรคมะเร็ง สูงเป็นอันดับต้นๆ ไม่ต่างไปจากการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ และอุบัติเหตุ อาจเพราะโรคมะเร็งส่วนใหญ่ไม่มีอาการบ่งชี้  ผู้ป่วยมักทราบอาการในระยะสุดท้าย ซึ่งเป็นไปได้ยากในการรักษา  ผลการสำรวจพบว่า โอกาสการรักษาหายของผู้ป่วยโรคมะเร็งในผู้ใหญ่ มีเพียงร้อยละ 30-40ส่วนในเด็กมีโอกาสหายจากโรคมะเร็งสูงกว่าคือร้อยละ 70 ทว่าโอกาสหายก็มิใช่หายขาด เพราะผู้ป่วยบางส่วนยังต้องเผชิญกับ"ภาวะโรคกลับมาเป็นซ้ำ" หากภูมิต้านทานไม่แข็งแรง ขณะที่วิธีการรักษารูปแบบเดิมก็ยากที่จะเยียวยาได้  พบว่าผู้ป่วยบางส่วนที่ผ่านแนวทางการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการใช้ยาเคมีบำบัด การผ่าตัด และการฉายแสง มายาวนานได้ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายอยู่ในภาวะต่ำมากเกินไป ร่างกายจึงต้องอาศัยระยะเวลาในการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาใหม่ ไม่สามารถทำลายเซลล์มะเร็งที่แฝงอยู่ได้ทันที  ดังนั้นเมื่อใดที่ผู้ป่วยอ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำเซลล์มะเร็งที่แฝงอยู่ในร่างกายก็สามารถเจริญเติบโตและเข้าทำลายเซลล์ร่ายกาย ผู้ป่วยจึงมีโอกาสกลับมาเป็นโรคมะเร็งอีกครั้ง
 ดังนั้นการทำอย่างไรให้ภูมิต้านทานในร่างกายซึ่งมีอยู่ต่ำนั้นสามารถกลับมาทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่ให้หมดไป ก็เท่ากับเป็นการช่วยผู้ป่วยให้รอดพ้นจากโรคมะเร็งอย่างแท้จริง "
      ปัจจุบัน นักวิจัยค้นพบหนทางใหม่ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งให้มีโอกาสหายได้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพ  การทำงานของเม็ดเลือดขาวที่จำเพาะต่อการทำลายเซลล์ มะเร็ง นั่นคือNK Cell(เซลล์เพชฌฆาต) และ Gamma  Delta T-Cell   โอโซนมาจากสารธรรมชาติทั้งสิ้น หลีกเลี่ยงยาเคมีต่างๆ  ดังนั้นจึงไม่เกิดอาการแพ้ยาหรือสารเคมีใดๆไม่มีผลกระทบ ทำลายเซลล์ภูมิคุ้มกันที่อื่นๆ โดยเน้นหลักการเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายผู้ป่วย  ช่วยให้ร่างกายอยู่ในสภาพสมดุล เพิ่มพลังชีวิต  จึงสามารถ ช่วยเติมเต็มและส่งเสริมให้การรักษาพยาบาลมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น  ผลข้างเคียงลดลง จึงนับเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์อย่างยิ่งอีกรูปแบบหนึ่งสำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง 
   อีกวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพคือ  การกำจัดสารอาหารที่จะนำไปหล่อเลี้ยงเซลมะเร็ง  เพื่อป้องกันและควบคุมการเจริญเติบโตของเซล

ปัจจัยที่มีผลต่อ เซลมะเร็ง ที่ควรทราบ

     1. น้ำตาลเป็นสารอาหารสำคัญที่เซลมะเร็งต้องการ  การตัดการลำเลียงน้ำตาลที่นำไปหล่อเลี้ยงเซลมะเร็งจึงเป็นสิ่งสำคัญ  สารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลเช่น NutraSweet,Equal หรืออื่น ๆ ผลิตจากสารจำพวก Aspartame ซึ่งเป็นอันตราย ควรหันมาใช้น้ำผึ้งหรือน้ำตาลธรรมชาติดีกว่า โดยใช้ให้น้อยลง  แต่สารฟอกขาวในน้ำตาลทรายก็เป็นอันตรายเช่นเดียวกัน
     2. นมเป็นสาระสำคัญที่ร่างกายใช้ผลิตเมือก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบทางเดินอาหาร  เซลมะเร็งเจริญเติบโตได้ดีบนเยื่อเมือก  ดังนั้นการลดการบริโภคนมและหันมาดื่มน้ำนมถั่วเหลืองที่ไม่หวาน  จะช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลมะเร็งได้
     3. สภาวะที่เป็นกรด  เซลมะเร็งสามารถเจริญได้ดีในสภาวะที่เป็นกรด  อาหารจำพวกเนื้อจะมีไขมันและเป็นกรดสูง  ดังนั้นจะเป็นการดีถ้าหันมาบริโภคเนื้อปลาหรือเนื้อไก่เล็กน้อย  และหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกเนื้อวัว,หมู  อีกทั้งอาหารจำพวกเนื้อวัว,หมู  ยังเต็มไปด้วยยาปฏิชีวนะ,ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต,พยาธิ  ที่มาจากคอกปศุสัตว์อันเป็นอันตรายต่อมนุษย์และก่อให้เกิดมะเร็งได้
     4. หลีกเลี่ยงการดื่มชา,กาแฟ,ช็อคโกแล็ต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง  ควรหันมาดื่มชาเขียวเพราะมีคุณสมบัติต้านมะเร็งที่ดี,น้ำเปล่า,น้ำที่ผ่านการกรองแล้ว  หลีกเลี่ยงน้ำที่ปนเปื้อนสารพิษ,สารโลหะหนัก,น้ำที่บรรจุอยู่ในภาชนะที่ทำจากโลหะหนักหรือน้ำที่มีสภาพเป็นกรดสูง
     5. การบริโภคผักสด,น้ำผลไม้สด,ธัญพืช,ถั่วหรืออาหารที่ทำจากถั่วต่าง ๆ จะสามารถช่วยให้ร่างกายปรับให้อยู่ในสภาพเป็นด่างได้ดี  อีกทั้ง Enzyme ในร่างกายสามารถย่อยสลายได้ง่าย รวดเร็ว ทำให้เซลปกตินำไปใช้งานได้มีประสิทธิภาพ  ดังนั้นการดื่มน้ำผลไม้สดหรือการทานผักสด 2-3 ครั้งต่อวัน  จะช่วยให้เซลที่ปกติแข็งแรงขึ้น
     6. อาหารจำพวกเนื้อสัตว์จะยากต่อการย่อยสลายในร่างกายและต้องใช้น้ำย่อยจำนวนมาก  การเหลือตกค้างจากการย่อยสลายในลำไส้จะทำให้เกิดสารพิษได้
     7. ผนังเซลของมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มที่แข็งแรงมากยากต่อการทำลาย  ดังนั้นถ้างดการบริโภคเนื้อสัตว์ต่าง ๆ จะช่วยให้ความแข็งแรงของผนังเซลของมะเร็ง  ลดลงและง่ายต่อการทำลาย
     8. สารที่สร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกัน (IP6, Flor-ssence ,Essiac, anti-oxidants, vitamins, EFAsฯลฯ) จะช่วยให้ร่างกายกำจัดและต่อต้านเซลมะเร็งได้ดีขึ้น
     9. มะเร็งเป็นโรคของ  จิตใจ,ร่างกาย,ความคิด  ดังนั้นความคิดในเชิงบวกสามารถทำให้ร่างกายต่อสู้กับมะเร็งได้ดี  ความโกรธ,อารมณ์ที่ขุ่นมัว,ความเครียด  จะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะความเป็นกรดซึ่งเป็นผลร้าย  ดังนั้นควรรู้จักทำจิตใจให้ผ่องใส,การให้,ความรัก,การผ่อนคลาย,การเพลิดเพลินกับชีวิต  จะส่งผลที่ดีกับร่างกายทั้งสิ้น
     10. เซลมะเร็งจะเจริญได้ไม่ดีในสภาพที่มีโอโซนสูง  ดังนั้นการออกกำลังเป็นประจำ,อากาศที่บริสุทธิ์  จะช่วยให้โอโซนเข้าสู่ร่างกายและเซลต่าง ๆ ได้ดี  โอโซนบำบัดก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยกำจัดเซลมะเร็งได้ดี

โอโซน ฆ่าเซลร้ายได้  แต่ทำไมไม่ทำลายเซลที่ดีด้วย ? 
นี่ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่คนถามกันบ่อย ๆ สามารถอธิบายได้ดังนี้
 
      โอโซนมีวิธีฆ่าเซลล์ที่ไม่แข็งแรงและเซลที่ไม่ดีโดยการผ่านเอนไซม์ ทุกเซลล์ที่มีสุขภาพดีมีเอนไซม์สามชนิดเป็นอย่างน้อยที่ปกป้องเซลจากการถูกออกซิไดซ์ และทุกเซลจำเป็นต้องใช้ออกซิเจน และในแต่ละเซลล์ใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญสารอาหาร  เซลล์ที่ไม่ปกติเหล่านี้ไม่มีเอนไซม์เพื่อป้องกันพวกเขาจากการถูกออกซิไดซ์ ดังนั้นเซลล์ไม่แข็งแรงทั้งหมดรวมทั้งเซลโรคมะเร็งจะไม่สามารถป้องกันตัวเองได้จากโอโซน ถ้าคุณจะได้รับโอโซนมากพอ
     โอโซนจะทำลาย ไวรัส ,แบคทีเรียเชื้อราเชื้อราและเซลมะเร็ง เพราะสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนต่ำ ซึ่งทั้งหมดนี้(ยกเว้นเซลมะเร็ง)อาศัยอยู่บนโลกก่อนที่มีออกซิเจน  เมื่อมีออกซิเจนบนโลกแล้ว จึงมีการหาสถานที่เพื่อซ่อน เช่นในสิ่งสกปรกพืชสัตว์เน่าเปื่อยวัสดุอินทรีย์และในร่างกายคนที่มีสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนต่ำ
     มะเร็งเป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายสัตว์ชั้นต่ำเช่นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย ฯลฯ มะเร็งต้องการออกซิเจนแต่ไม่มีเอนไซม์ในการป้องกันตัวเองจากการออกซิเดชัน ดังนั้นเซลล์มะเร็งสามารถถูกฆ่าได้ด้วยโอโซน
     และเนื่องจากการกำจัดด้วยการทำลายที่เยื่อผิวของเซล  ดังนั้นโอโซนจึงสามารถทำลายไวรัส, แบคทีเรียเชื้อราเชื้อราและเซลมะเร็ง โดยไม่สนใจว่าเชื้อจะดื้อต่อยาอะไรหรือไม่  จึงสามารถออกฤทธิ์ในการทำลายได้กว้างกว่ายาที่ทำจากสารเคมีต่าง ๆ มากมาย
     โอโซนสามารถใช้งานกับการรักษาใด ๆ แม้การให้คีโมและการฉายรังสี มีการศึกษาแสดงให้เห็นว่าที่จริง  โอโซนช่วยเพิ่มผลของเคมีบำบัดและรังสี  นอกจากนี้โอโซนจะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวจากผลกระทบของเคมีบำบัดและฉายรังสีได้เป็นอย่างดีอีกด้วย