โอโซนสำหรับมะเร็ง
ข้อเท็จจริงล่าสุดที่เกี่ยวกับมะเร็ง
1.ในร่างกายของทุกคนเซลมะเร็งอยู่แล้ว
แต่จะไม่แสดงอาการใด ๆ จนกว่าจะมีจำนวนนับล้าน ๆ เซล
เมื่อแพทย์กล่าวว่าผู้ป่วยหายเป็นปกติดีภายหลังจากการรักษา หมายความว่ายังคงมีเซลมะเร็งอยู่ แต่ไม่มากพอที่จะแสดงอาการ
2. เซลมะเร็งสามารถตรวจพบได้ 6 ถึง 10 ครั้งในช่วงชีวิตของคน ๆ หนึ่ง
3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงพอจะสามารถทำลายเซลมะเร็ง และควบคุมไม่ให้มีปริมาณมากขึ้นจนกลายเป็นเนื้อร้าย
4. เมื่อบุคลใดเป็นมะเร็ง อาจบ่งชี้ได้ว่ามีการเสียสมดุลทางสารอาหาร และอาจเกี่ยวเนื่องกับพันธุกรรม,สภาพแวดล้อมหรือการดำรงชีพของแต่ละบุคคล
5. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินที่ดีและสมดุลจะช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
6. การบำบัดด้วยสารเคมี นอกจากจะยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลมะเร็งแล้ว ยังสามารถทำลายเซลในร่างกายที่ปกติไปด้วย เช่น ไขกระดูก ระบบทางเดินอาหาร และยังทำให้ระบบอวัยวะภายในถูกทำลายด้วย เช่น ตับ ไต หัวใจ ฯลฯ
7. การฉายรังสีบำบัด สามารถทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็สามารถเผา เกิดรอยแผลเป็น ทำลาย เซลปกติหรืออวัยวะที่อยู่ข้างเคียงได้ด้วย
8. ในระยะเริ่มต้นของการรักษาด้วยรังสีหรือเคมีบำบัด สามารถลดขนาดของก้อนเนื้อร้ายหรือเซลมะเร็งได้ดี แต่ในระยะยาวมักไม่มีผลมากนัก
9. เมื่อร่างกายได้รับพิษจากการฉายรังสีหรือเคมีบำบัดเป็นจำนวนมากในระดับหนึ่ง จะส่งผลข้างเคียงต่อระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อ
10. การฉายรังสีหรือเคมีบำบัดอาจเป็นสาเหตุของการกลายพันธุ์ของเซลมะเร็ง ซึ่งจะทำให้ยากต่อการรักษา ดังนั้นการผ่าตัดเพื่อนำก้อนเนื้อร้ายออกจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ต้องการะทำ
2. เซลมะเร็งสามารถตรวจพบได้ 6 ถึง 10 ครั้งในช่วงชีวิตของคน ๆ หนึ่ง
3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงพอจะสามารถทำลายเซลมะเร็ง และควบคุมไม่ให้มีปริมาณมากขึ้นจนกลายเป็นเนื้อร้าย
4. เมื่อบุคลใดเป็นมะเร็ง อาจบ่งชี้ได้ว่ามีการเสียสมดุลทางสารอาหาร และอาจเกี่ยวเนื่องกับพันธุกรรม,สภาพแวดล้อมหรือการดำรงชีพของแต่ละบุคคล
5. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินที่ดีและสมดุลจะช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
6. การบำบัดด้วยสารเคมี นอกจากจะยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลมะเร็งแล้ว ยังสามารถทำลายเซลในร่างกายที่ปกติไปด้วย เช่น ไขกระดูก ระบบทางเดินอาหาร และยังทำให้ระบบอวัยวะภายในถูกทำลายด้วย เช่น ตับ ไต หัวใจ ฯลฯ
7. การฉายรังสีบำบัด สามารถทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็สามารถเผา เกิดรอยแผลเป็น ทำลาย เซลปกติหรืออวัยวะที่อยู่ข้างเคียงได้ด้วย
8. ในระยะเริ่มต้นของการรักษาด้วยรังสีหรือเคมีบำบัด สามารถลดขนาดของก้อนเนื้อร้ายหรือเซลมะเร็งได้ดี แต่ในระยะยาวมักไม่มีผลมากนัก
9. เมื่อร่างกายได้รับพิษจากการฉายรังสีหรือเคมีบำบัดเป็นจำนวนมากในระดับหนึ่ง จะส่งผลข้างเคียงต่อระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อ
10. การฉายรังสีหรือเคมีบำบัดอาจเป็นสาเหตุของการกลายพันธุ์ของเซลมะเร็ง ซึ่งจะทำให้ยากต่อการรักษา ดังนั้นการผ่าตัดเพื่อนำก้อนเนื้อร้ายออกจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ต้องการะทำ
และเนื่องจากการรักษามะเร็งยังมีปัญหาไม่สามารถกำจัดโรคมะเร็งให้หายขาดได้ทุกราย แม้รายที่ดูเหมือนจะดีขึ้นแต่ผ่านไปไม่กี่ปีโรคมะเร็งก็กลับมาเป็นอีก
คราวนี้ส่วนใหญ่จะแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย แม้การใช้ยาเคมีบำบัดรุ่นใหม่มาทำการรักษา
แต่ดูเหมือนผลการรักษาก็ยังไว้ใจไม่ได้
โดยที่การรักษาเหล่านี้มาพร้อมกับการทำลายภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย และไม่เพียงแต่จัดการกับเนื้อร้ายเท่านั้นแต่ยังทำลายเซลล์ปกติด้วย
นอกจากนี้ยังทำให้เกิดพิษต่ออวัยวะในร่างกายอย่างสูง
เกินกว่าที่ร่างกายของคนปกติจะรับได้


การเติมโอโซนสำหรับมะเร็ง
การเติมโอโซนเพื่อการร่วมรักษามะเร็งมีใช้มานานแล้วหลายสิบปี
เหตุผลของการเติมโอโซนในกรณีรักษามะเร็งสืบเนื่องมาจากการค้นพบสำคัญๆ 3 ประการคือ
1. การค้นพบของนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล ดร.ออตโต วอร์บวร์ก ผู้อำนวยการสถาบันมากซแพล็งค์ ซึ่งศึกษาค้นคว้าสรีรวิทยาของเซลล์ในกรุงเบอร์ลิน เขากล่าวในที่ประชุมนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลที่เยอรมันในปีค.ศ.1961 ว่า "สภาวะที่ขาดออกซิเจนในระดับเซลล์ คือสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการเกิดมะเร็ง"
2. นักวิทยาศาสตร์อีก 2 คนที่กล่าวถึงความสำคัญในเรื่องนี้คือ ดร.เจมส์ และดร.วัตสัน ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลคู่กันในฐานะผู้ค้นพบโครงสร้างของดีเอ็นเอว่าเป็น บันไดเวียนเกลียวคู่ เขากล่าวว่า"ไวรัสหลายชนิดถูกค้นพบแล้วว่าเป็นสารก่อมะเร็งที่สำคัญ" มันเป็นความรู้ใหม่ที่คนเราไม่เคยรับรู้มาก่อน
3. ดร.เจาควิม วาร์โร ชาวเยอรมันระบุไว้เมื่อปีค.ศ.1974 ว่า "เซลล์มะเร็งไม่ทนทานต่อสารเปอร์ออกไซด์ ดังนั้นโอโซนและไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์จึงอาจเหนี่ยวนำกระบวนการครองธาตุของ เซลล์ ทำให้ยับยั้งการขยายตัวของเซลล์มะเร็งได้" ความจริงข้อนี้รอการพิสูจน์จนถึงปี ค.ศ.1980 ดร.เฟรเดอริก สวีทและคณะได้ตีพิมพ์บทความในวารสาร ไซแอนส์ รายงานผลวิจัยจากห้องทดลองที่พิสูจน์ว่า“โอโซนมีผลยับยั้งการขยายตัวของเซลล์ มะเร็งอย่างเฉพาะเจาะจง"
การบำบัดด้วยโอโซนจึงเป็นธรรมชาติบำบัดประการหนึ่ง ซึ่งเข้ามามีบทบาทด้านการแพทย์ทางเลือกในยุคปัจจุบัน
กลไกร่างกายต่อมะเร็ง
กลไกต่างๆ
ในร่างกายที่มีผลต่อการกำจัดเซลมะเร็ง มีดังนี้
1. การกระตุ้นการสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพของ Natural Killer Cell (NK CeLL) หรือเซลล์เพชฌฆาต เพื่อปกป้อง หรือป้องกันการเกิดมะเร็ง
1. การกระตุ้นการสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพของ Natural Killer Cell (NK CeLL) หรือเซลล์เพชฌฆาต เพื่อปกป้อง หรือป้องกันการเกิดมะเร็ง
Natural Killer Cell เป็นเซลล์สำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นด่านแรกในการปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคและสิ่งที่มาคุกคาม เมื่อ NK Cell ถูกกระตุ้นจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง 2 ประการ คือ
1.ปล่อยสารสื่อโปรตีน ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
2.ทำหน้าที่เป็นเซลล์นักฆ่าที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อ รวมถึงเซลล์มะเร็ง
เป็นที่ทราบกันว่าผู้ป่วยมะเร็งจะมีจำนวนและประสิทธิภาพการทำงานของ NK Cell ต่ำ ทำให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่มาคุกคามร่างกาย หรือไม่สามารถทำลายเนื้อเยื่อที่ผิดปกติได้ ส่งผลให้โรคมะเร็งลุกลามแพร่กระจายทั่วไป จากความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องได้ค้นพบวิธีการเพาะเลี้ยงเซลล์เพชฌฆาต(NK Cell)ได้โดยทำการเจาะเลือดผู้ป่วยประมาณ 50 ml นำมาสกัดแยกเนื้อเยื่อมะเร็งและ Dendritic cells (DC) ซึ่งเป็นเซลภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่หลักในการตรวจหาเซลมะเร็งและส่งสัญญาณให้เซลอื่นๆในระบบรับทราบเพื่อเข้าจัดการกับเซลล์มะเร็ง พร้อมกับเพิ่มจำนวน NK Cell จนได้เซลล์เพชฌฆาตนับล้านเซลล์แล้ว และเมื่อ DC ถูกกระตุ้นจะเปลี่ยนจากระยะ resting phase เป็น activating phase แล้วฉีดกลับให้กับผู้ป่วย โดยDC+NK Cell ที่ฉีดกลับนี้ก็จะเป็นตัวชี้นำให้ T cells ที่อยู่ในร่างกายเรารู้จักและสามารถจดจำเซลล์มะเร็งชนิดนี้ได้ และมีความสามารถทำลายเซลล์มะเร็งในตัวผู้ป่วยได้อย่างเฉพาะเจาะจง นอกจากนี้ NK Cell ยังสามารถยับยั้งการทำลายเซลล์ได้ในกรณีที่พบว่าเป็นเซลล์ปกติของร่างกาย และเนื่องจากเป็นเซลล์ที่เพาะเลี้ยงมาจากตัวผู้ป่วยเองจึงไม่มีผลแทรกซ้อนหรืออาการข้างเคียง และนี่ก็อาจจะเป็นแนวทางการรักษามะเร็งที่สมบูรณ์แบบ
ผลการศึกษาวิจัยการใช้เซลล์เพชฌฆาตรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Immunotherapy ฉบับเดือนมกราคม พ.ศ.2551 ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับจำนวน 45 ราย ได้รับการรักษาด้วยเซลล์เพชฌฆาตพบว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นโดยผู้ป่วยจำนวน 39 ราย รับประทานอาหารได้มากขึ้นและผู้ป่วยจำนวน 34 ราย มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และเมื่อติดตามผลไปนาน 18 เดือน ผู้ป่วยทุกรายยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้ทำการรักษาด้วยเซลล์เพชฌฆาตจำนวน 40 ราย พบว่ากลุ่มที่ไม่ได้ทำการรักษามีอัตราการเกิดมะเร็งซ้ำร้อยละ 80 ส่วนกลุ่มที่ทำการรักษามีอัตราการเกิดมะเร็งซ้ำร้อยละ 31.11 ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
2.โปรแกรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการต่อสู้กับเซลมะเร็ง
เป็นโปรแกรมการรักษามะเร็งที่จะเปลี่ยนระบบภูมิต้านทานของคนไข้ที่อ่อนแอ ปล่อยให้ก้อนมะเร็งลุกลามใหญ่โตเบียดบังอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย ให้กลับกลายเป็นนักต่อสู้ที่จะห้ำหั่นเซลล์มะเร็งให้พ่ายแพ้ไปราบคาบด้วยตัวของคนไข้เอง โดยการที่ออกฤทธิ์ต่ออวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย ไม่น้อยกว่า 15 อวัยวะ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานที่มีประสิทธิภาพ โดยจะสร้างสาร Interferonogene ( เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อระบบภูมิคุ้มกัน ) เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง กำจัดสารอนุมูลอิสระ และยังป้องกันการแพร่กระจายของเนื้อร้ายและการกลับมาของโรคมะเร็งอีก พร้อมทั้งกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์เพชฌฆาต (NK Cell) เพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้เมื่อเซลล์มะเร็งถูกทำลายลงแล้ว เซลล์ที่ตายและเสื่อมจะกลายเป็นสารพิษตกค้างในร่างกาย โปรแกรมนี้ จะมีขบวนการ เร่งการขับถ่ายสารพิษ ออกจากร่างกายผู้ป่วยโดยกระตุ้นการการกำจัดสารพิษออกทางตับซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้มะเร็ง และทางผิวหนังเพื่อช่วยลดการขับสารพิษทางไต อีกทั้งการที่อวัยวะภายในของผู้ป่วยแข็งแรง จะทำให้ผู้ป่วยมีความอยากทานอาหาร ร่างกายกระชุ่มกระชวยมีเรี่ยวแรงขึ้น สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี
คุณสมบัติพิเศษที่ใช้ในการกำจัดเนื้อร้าย
1. มีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเนื้อร้าย
2. ไม่มีผลข้างเคียงในขณะที่กำลังทำปฏิกิริยาต่อสู้กับเนื้อร้ายอยู่ ซึ่งสุดท้ายจะสลายกลายเป็นออกซิเจนที่ทุกเซลในร่างกายต้องการเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว
3. ป้องกันการกลับมาของโรค และการแพร่กระจายของเนื้อร้าย
นอกจากนี้ยังสามารถใช้กับผู้ป่วยที่กำลังรักษาด้วยเคมีบำบัด หรือผู้ที่ได้รับการรักษาแบบรังสีบำบัด เนื่องจากการรักษาเหล่านี้มาพร้อมๆกับการทำลายภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย ซึ่งไม่เพียงแต่จะจัดการกับเนื้อร้ายเท่านั้นแต่ยังทำลายเซลล์ปกติด้วย และทำให้เกิดพิษต่ออวัยวะในร่างกายอย่างสูงเกินกว่าที่จะรับได้ เช่น ร่างกายอ่อนแอ อ่อนเพลีย ผมร่วง คลื่นไส้อาเจียน ท้องร่วงภูมิต้านทานต่ำ ทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมานด้วยอาการต่างๆนานา แต่การออกฤทธิ์ของโอโซนจะมุ่งทำลายต่อเซลล์เนื้อร้ายเท่านั้นไม่ทำลายเซลล์อื่น และกลับยังเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจึงสามารถลดผลข้างเคียงที่ได้รับจากการให้เคมีและรังสีบำบัดได้เป็นอย่างดี
ประโยชน์ที่ได้รับ
ถ้าทำก่อนการผ่าตัดและให้ยาเคมีบำบัด จะทำให้ผู้ป่วยมีเซลล์ภูมิต้านทานไปล้อมเซลล์มะเร็งไว้ และทำให้เซลล์เนื้อร้ายอ่อนแรง ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากกว่า
ถ้าทำหลังการผ่าตัดและเคมีบำบัดจะช่วยทำลายเซลล์มะเร็งที่เหลือหลุดรอดไปไม่ให้กลับมา เป็นใหม่ และช่วยลดภาวะแทรกซ้อนและผลข้างเคียงของเคมีบำบัด
กรณีผู้ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น สามารถมีชีวิตอยู่กับ มะเร็งอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี
3.โปรแกรมฟื้นฟูสภาพร่างกาย
นับวันสถานการณ์ผู้ป่วย " โรคมะเร็ง" ในประเทศไทยดูจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น อัตราการตายของผู้ป่วยจากโรคมะเร็ง สูงเป็นอันดับต้นๆ ไม่ต่างไปจากการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ และอุบัติเหตุ อาจเพราะโรคมะเร็งส่วนใหญ่ไม่มีอาการบ่งชี้ ผู้ป่วยมักทราบอาการในระยะสุดท้าย ซึ่งเป็นไปได้ยากในการรักษา ผลการสำรวจพบว่า โอกาสการรักษาหายของผู้ป่วยโรคมะเร็งในผู้ใหญ่ มีเพียงร้อยละ 30-40ส่วนในเด็กมีโอกาสหายจากโรคมะเร็งสูงกว่าคือร้อยละ 70 ทว่าโอกาสหายก็มิใช่หายขาด เพราะผู้ป่วยบางส่วนยังต้องเผชิญกับ"ภาวะโรคกลับมาเป็นซ้ำ" หากภูมิต้านทานไม่แข็งแรง ขณะที่วิธีการรักษารูปแบบเดิมก็ยากที่จะเยียวยาได้ พบว่าผู้ป่วยบางส่วนที่ผ่านแนวทางการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการใช้ยาเคมีบำบัด การผ่าตัด และการฉายแสง มายาวนานได้ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายอยู่ในภาวะต่ำมากเกินไป ร่างกายจึงต้องอาศัยระยะเวลาในการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาใหม่ ไม่สามารถทำลายเซลล์มะเร็งที่แฝงอยู่ได้ทันที ดังนั้นเมื่อใดที่ผู้ป่วยอ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำเซลล์มะเร็งที่แฝงอยู่ในร่างกายก็สามารถเจริญเติบโตและเข้าทำลายเซลล์ร่ายกาย ผู้ป่วยจึงมีโอกาสกลับมาเป็นโรคมะเร็งอีกครั้ง
" ดังนั้นการทำอย่างไรให้ภูมิต้านทานในร่างกายซึ่งมีอยู่ต่ำนั้นสามารถกลับมาทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่ให้หมดไป ก็เท่ากับเป็นการช่วยผู้ป่วยให้รอดพ้นจากโรคมะเร็งอย่างแท้จริง "
ปัจจุบัน นักวิจัยค้นพบหนทางใหม่ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งให้มีโอกาสหายได้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพ การทำงานของเม็ดเลือดขาวที่จำเพาะต่อการทำลายเซลล์ มะเร็ง นั่นคือNK Cell(เซลล์เพชฌฆาต) และ Gamma Delta T-Cell โอโซนมาจากสารธรรมชาติทั้งสิ้น หลีกเลี่ยงยาเคมีต่างๆ ดังนั้นจึงไม่เกิดอาการแพ้ยาหรือสารเคมีใดๆไม่มีผลกระทบ ทำลายเซลล์ภูมิคุ้มกันที่อื่นๆ โดยเน้นหลักการเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายผู้ป่วย ช่วยให้ร่างกายอยู่ในสภาพสมดุล เพิ่มพลังชีวิต จึงสามารถ ช่วยเติมเต็มและส่งเสริมให้การรักษาพยาบาลมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผลข้างเคียงลดลง จึงนับเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์อย่างยิ่งอีกรูปแบบหนึ่งสำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง
อีกวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพคือ การกำจัดสารอาหารที่จะนำไปหล่อเลี้ยงเซลมะเร็ง เพื่อป้องกันและควบคุมการเจริญเติบโตของเซล
ปัจจัยที่มีผลต่อ เซลมะเร็ง
ที่ควรทราบ
1. น้ำตาลเป็นสารอาหารสำคัญที่เซลมะเร็งต้องการ การตัดการลำเลียงน้ำตาลที่นำไปหล่อเลี้ยงเซลมะเร็งจึงเป็นสิ่งสำคัญ
สารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลเช่น NutraSweet,Equal หรืออื่น ๆ ผลิตจากสารจำพวก Aspartame ซึ่งเป็นอันตราย
ควรหันมาใช้น้ำผึ้งหรือน้ำตาลธรรมชาติดีกว่า โดยใช้ให้น้อยลง แต่สารฟอกขาวในน้ำตาลทรายก็เป็นอันตรายเช่นเดียวกัน
2. นมเป็นสาระสำคัญที่ร่างกายใช้ผลิตเมือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบทางเดินอาหาร
เซลมะเร็งเจริญเติบโตได้ดีบนเยื่อเมือก ดังนั้นการลดการบริโภคนมและหันมาดื่มน้ำนมถั่วเหลืองที่ไม่หวาน
จะช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลมะเร็งได้
3. สภาวะที่เป็นกรด เซลมะเร็งสามารถเจริญได้ดีในสภาวะที่เป็นกรด
อาหารจำพวกเนื้อจะมีไขมันและเป็นกรดสูง ดังนั้นจะเป็นการดีถ้าหันมาบริโภคเนื้อปลาหรือเนื้อไก่เล็กน้อย
และหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกเนื้อวัว,หมู
อีกทั้งอาหารจำพวกเนื้อวัว,หมู ยังเต็มไปด้วยยาปฏิชีวนะ,ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต,พยาธิ ที่มาจากคอกปศุสัตว์อันเป็นอันตรายต่อมนุษย์และก่อให้เกิดมะเร็งได้
4. หลีกเลี่ยงการดื่มชา,กาแฟ,ช็อคโกแล็ต
ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ควรหันมาดื่มชาเขียวเพราะมีคุณสมบัติต้านมะเร็งที่ดี,น้ำเปล่า,น้ำที่ผ่านการกรองแล้ว หลีกเลี่ยงน้ำที่ปนเปื้อนสารพิษ,สารโลหะหนัก,น้ำที่บรรจุอยู่ในภาชนะที่ทำจากโลหะหนักหรือน้ำที่มีสภาพเป็นกรดสูง
5. การบริโภคผักสด,น้ำผลไม้สด,ธัญพืช,ถั่วหรืออาหารที่ทำจากถั่วต่าง ๆ จะสามารถช่วยให้ร่างกายปรับให้อยู่ในสภาพเป็นด่างได้ดี
อีกทั้ง Enzyme ในร่างกายสามารถย่อยสลายได้ง่าย
รวดเร็ว ทำให้เซลปกตินำไปใช้งานได้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการดื่มน้ำผลไม้สดหรือการทานผักสด
2-3 ครั้งต่อวัน จะช่วยให้เซลที่ปกติแข็งแรงขึ้น
6. อาหารจำพวกเนื้อสัตว์จะยากต่อการย่อยสลายในร่างกายและต้องใช้น้ำย่อยจำนวนมาก
การเหลือตกค้างจากการย่อยสลายในลำไส้จะทำให้เกิดสารพิษได้
7. ผนังเซลของมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มที่แข็งแรงมากยากต่อการทำลาย
ดังนั้นถ้างดการบริโภคเนื้อสัตว์ต่าง ๆ
จะช่วยให้ความแข็งแรงของผนังเซลของมะเร็ง ลดลงและง่ายต่อการทำลาย
8. สารที่สร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกัน (IP6, Flor-ssence ,Essiac,
anti-oxidants, vitamins, EFAsฯลฯ)
จะช่วยให้ร่างกายกำจัดและต่อต้านเซลมะเร็งได้ดีขึ้น
9. มะเร็งเป็นโรคของ จิตใจ,ร่างกาย,ความคิด
ดังนั้นความคิดในเชิงบวกสามารถทำให้ร่างกายต่อสู้กับมะเร็งได้ดี
ความโกรธ,อารมณ์ที่ขุ่นมัว,ความเครียด จะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะความเป็นกรดซึ่งเป็นผลร้าย
ดังนั้นควรรู้จักทำจิตใจให้ผ่องใส,การให้,ความรัก,การผ่อนคลาย,การเพลิดเพลินกับชีวิต
จะส่งผลที่ดีกับร่างกายทั้งสิ้น
10. เซลมะเร็งจะเจริญได้ไม่ดีในสภาพที่มีโอโซนสูง ดังนั้นการออกกำลังเป็นประจำ,อากาศที่บริสุทธิ์
จะช่วยให้โอโซนเข้าสู่ร่างกายและเซลต่าง ๆ ได้ดี โอโซนบำบัดก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยกำจัดเซลมะเร็งได้ดี
โอโซน ฆ่าเซลร้ายได้ แต่ทำไมไม่ทำลายเซลที่ดีด้วย ?
นี่ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่คนถามกันบ่อย ๆ สามารถอธิบายได้ดังนี้
โอโซนมีวิธีฆ่าเซลล์ที่ไม่แข็งแรงและเซลที่ไม่ดีโดยการผ่านเอนไซม์ ทุกเซลล์ที่มีสุขภาพดีมีเอนไซม์สามชนิดเป็นอย่างน้อยที่ปกป้องเซลจากการถูกออกซิไดซ์ และทุกเซลจำเป็นต้องใช้ออกซิเจน และในแต่ละเซลล์ใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญสารอาหาร เซลล์ที่ไม่ปกติเหล่านี้ไม่มีเอนไซม์เพื่อป้องกันพวกเขาจากการถูกออกซิไดซ์ ดังนั้นเซลล์ไม่แข็งแรงทั้งหมดรวมทั้งเซลโรคมะเร็งจะไม่สามารถป้องกันตัวเองได้จากโอโซน ถ้าคุณจะได้รับโอโซนมากพอ
โอโซนจะทำลาย ไวรัส ,แบคทีเรีย, เชื้อรา, เชื้อราและเซลมะเร็ง เพราะสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนต่ำ ซึ่งทั้งหมดนี้(ยกเว้นเซลมะเร็ง)อาศัยอยู่บนโลกก่อนที่มีออกซิเจน เมื่อมีออกซิเจนบนโลกแล้ว จึงมีการหาสถานที่เพื่อซ่อน เช่นในสิ่งสกปรก, พืชสัตว์เน่าเปื่อยวัสดุอินทรีย์และในร่างกายคนที่มีสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนต่ำ
มะเร็งเป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายสัตว์ชั้นต่ำเช่นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย ฯลฯ มะเร็งต้องการออกซิเจนแต่ไม่มีเอนไซม์ในการป้องกันตัวเองจากการออกซิเดชัน ดังนั้นเซลล์มะเร็งสามารถถูกฆ่าได้ด้วยโอโซน
และเนื่องจากการกำจัดด้วยการทำลายที่เยื่อผิวของเซล ดังนั้นโอโซนจึงสามารถทำลายไวรัส, แบคทีเรีย, เชื้อรา, เชื้อราและเซลมะเร็ง โดยไม่สนใจว่าเชื้อจะดื้อต่อยาอะไรหรือไม่ จึงสามารถออกฤทธิ์ในการทำลายได้กว้างกว่ายาที่ทำจากสารเคมีต่าง ๆ มากมาย
โอโซนสามารถใช้งานกับการรักษาใด ๆ แม้การให้คีโมและการฉายรังสี มีการศึกษาแสดงให้เห็นว่าที่จริง โอโซนช่วยเพิ่มผลของเคมีบำบัดและรังสี นอกจากนี้โอโซนจะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวจากผลกระทบของเคมีบำบัดและฉายรังสีได้เป็นอย่างดีอีกด้วย.
นี่ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่คนถามกันบ่อย ๆ สามารถอธิบายได้ดังนี้
โอโซนมีวิธีฆ่าเซลล์ที่ไม่แข็งแรงและเซลที่ไม่ดีโดยการผ่านเอนไซม์ ทุกเซลล์ที่มีสุขภาพดีมีเอนไซม์สามชนิดเป็นอย่างน้อยที่ปกป้องเซลจากการถูกออกซิไดซ์ และทุกเซลจำเป็นต้องใช้ออกซิเจน และในแต่ละเซลล์ใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญสารอาหาร เซลล์ที่ไม่ปกติเหล่านี้ไม่มีเอนไซม์เพื่อป้องกันพวกเขาจากการถูกออกซิไดซ์ ดังนั้นเซลล์ไม่แข็งแรงทั้งหมดรวมทั้งเซลโรคมะเร็งจะไม่สามารถป้องกันตัวเองได้จากโอโซน ถ้าคุณจะได้รับโอโซนมากพอ
โอโซนจะทำลาย ไวรัส ,แบคทีเรีย, เชื้อรา, เชื้อราและเซลมะเร็ง เพราะสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนต่ำ ซึ่งทั้งหมดนี้(ยกเว้นเซลมะเร็ง)อาศัยอยู่บนโลกก่อนที่มีออกซิเจน เมื่อมีออกซิเจนบนโลกแล้ว จึงมีการหาสถานที่เพื่อซ่อน เช่นในสิ่งสกปรก, พืชสัตว์เน่าเปื่อยวัสดุอินทรีย์และในร่างกายคนที่มีสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนต่ำ
มะเร็งเป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายสัตว์ชั้นต่ำเช่นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย ฯลฯ มะเร็งต้องการออกซิเจนแต่ไม่มีเอนไซม์ในการป้องกันตัวเองจากการออกซิเดชัน ดังนั้นเซลล์มะเร็งสามารถถูกฆ่าได้ด้วยโอโซน
และเนื่องจากการกำจัดด้วยการทำลายที่เยื่อผิวของเซล ดังนั้นโอโซนจึงสามารถทำลายไวรัส, แบคทีเรีย, เชื้อรา, เชื้อราและเซลมะเร็ง โดยไม่สนใจว่าเชื้อจะดื้อต่อยาอะไรหรือไม่ จึงสามารถออกฤทธิ์ในการทำลายได้กว้างกว่ายาที่ทำจากสารเคมีต่าง ๆ มากมาย
โอโซนสามารถใช้งานกับการรักษาใด ๆ แม้การให้คีโมและการฉายรังสี มีการศึกษาแสดงให้เห็นว่าที่จริง โอโซนช่วยเพิ่มผลของเคมีบำบัดและรังสี นอกจากนี้โอโซนจะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวจากผลกระทบของเคมีบำบัดและฉายรังสีได้เป็นอย่างดีอีกด้วย.